September 20, 2018 21:15 ตอบโดย พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ. ) สวัสดีค่ะ โดยปกติอาการขาบวมข้างเดียวนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัยคะแต่สาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดอาการบวมคือ 1. มีอาการอักเสบ ติดเชื้อ ของผิวหนัง จะมีอาการปวดบวมแดงมีไข้ได้ 2. มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดำทำให้มีอาการ ขาบวมข้างเดียว ปวดบวมแดงได้เช่นกีน 3. ท่อน้ำเหลืองอุดตัน หรือlymphatic duct obstruction หรือlymphedema คะ ซึ่งในกรณีนี้หากจากข้อมูลที่บอกว่าเป็นท่อน้ำเหลืองอุดตัน ก็น่าจะมีอาการบวมมาจากสาเหตุที่สาม ซึ่งในสาเหตุนี้จะต้องมาหาสาเหตุต่อว่าเป็นจากอะไรคะ ตัวอย่างเช่น 1. โรคเท้าช้าง จะมีเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคไปอยู่ในท่อทางเดินน้ำเหลืองทำให้เกิดการอุดตันทำให้ เกิดอาการขาบวมได้คะ 2. เคยผ่าตัดมาก่อนหรือฉายแสงมาก่อนหรือไม่ ทำให้เกิดพังผืดไปรัดตัวบริเวรท่อทางเดินน้ำเหลืองเกิดขึ้นขาก็บวมคะ 3. มีก้อนเนื้อเกิดบริเวรขาหรือไม่ 4. มีการอักเสบติดเชื้อบริเวรขาบ่อยๆหรือไม่ 5.
เกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ขา อาการบวมจะเป็นตลอดต่อเนื่อง การนอนไม่ทำให้อาการดีขึ้นหรือหายไป คลำดูบริเวณขาจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ หรือคลำหลอดเลือดได้เป็นเส้นแข็ง หากกระดกเท้าขึ้นจะปวดที่บริเวณน่อง มักมีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิด เช่น หลังผ่าตัด ผู้สูงอายุที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว เป็นโรคภูมิแพ้ตนเองชนิดต่างๆ มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น 6.
ปวดเข่า เข่าเสื่อม #ปวดเข่า #เข่าเสื่อม #เจ็บเข่า #เจ็บหัวเข่า #ข้อเข่าอักเสบ #ยาแก้ปวดข้อ #เข่าอักเสบ #ไขข้ออักเสบ #โรคเข่าเสื่อม #ผ่าตัดข้อเข่า #เข่าตึง #หัวเข่า #ปวดหัวเข่า #เข่าบวม #โรคข้ออักเสบ #โรคข้อเข่าเสื่อม #ปวดข้อเข่า #อาการปวดเข่า #โรคปวดข้อ #ยาจีน #ยาสมุนไพร #ยาสมุนไพรจีน #สมุนไพร #สมุนไพรจีน #ยาจีนสกัด #ยาสมุนไพรจีนสกัด #สมุนไพรจีนสกัด #ยาบำรุงเลือด #ยาจีนสำเร็จรูป #ยาบำรุงร่างกาย #อาหารเสริม
สวัสดีค่ะ คุณ Wimon, สาเหตุของการเกิดขาบวม ได้แก่ 1. การยืนนานๆ หรือนั่งห้อยขาเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง ทั้งนี้เนื่องจากเลือดในหลอดเลือดดำจะต้องไหลกลับเข้าสู่หัวใจ หากยืนหรือนั่งห้อยขานาน เลือดจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจลำบาก เพราะกล้ามเนื้อที่บริเวณน่องไม่ได้เกิดการเคลื่อนไหว ที่จะช่วยในการบีบไล่เลือดกลับหัวใจ เลือดจึงคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำ และทำให้น้ำเหลืองไหลกลับเข้าสู่หลอดเลือดดำไม่ได้ น้ำเหลืองจึงคั่งอยู่ในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการน่องและเท้าบวมได้ และอาจมีอาการปวดได้เล็กน้อย หากได้มีการเคลื่อนไหวของขา หรือยกขาสูง อาการบวมก็จะหายไป 2. มีไตเรื้อรัง หรือไตวาย แต่มักมีอาการบวมที่หน้าด้วย นอกจากนี้จะต้องมีอาการอื่นๆ อีก เช่น ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะน้อยกว่าปกติ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น 3. ตับแข็ง นอกจากอาการเท้าบวม ขาบวมแล้ว จะมีอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ท้องมาน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลดลง ปวดท้องด้านขวา ตัวเหลือง ตาเหลือง คันตามผิวหนัง เป็นต้น 4. ภาวะหัวใจวาย อาการเท้าบวม ขาบวม จะเป็นตลอดทั้งวัน และมีอาการอื่นๆ อีก เช่น แน่นหน้าอก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ ไอมีเสมหะปนเลือด น้ำหนักเพิ่ม เป็นต้น 5.
Orphenadrine 35 mg. 4. Piroxicam 20 mg. 4. Auxib (ซื้อร้านขายยา) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แสดงความคิดเห็น
ปัญหาอาการปวดเข่าเป็นปัญหาที่หลายคนต้องประสบพบเจออยู่แล้ว ไม่ว่าจะ แม่บ้าน นักกีฬา หรือใครก็ตามแต่ วันนี้ทาง arukou ขอแนะนำ ท่าบริหารแก้ปวดเข่า ที่คุณทำได้ง่ายๆ ที่บ้านและยังได้ผลดีด้วย กายบริหารเป็นยาวิเศษที่เยี่ยมยอดจริงๆ ท่าบริหารแก้ปวดเข่า ทั้ง 7 ท่า 1. นอนราบลงกับพื้น คว่ำมือ เหยียดแขนตรงแนบลำตัว เริ่มจากงอเข่า แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นทีละนิด จนขาเป็นมุม 90 องศากับพื้น หลังจากนั้นให้เกร็งมือ ยืดขาให้ตึง ยกศีรษะขึ้นพอประมาณ (ให้พอมองเห็นหน้าท้องของตัวเองได้) ทำค้างไว้ประมาณ 10 วินาที / 3 ครั้ง 2. นั่งบนเก้าอี้หลังตรง ไม่พิงพนัก มือทั้ง 2 ข้างแนบชิดลำตัว ยกขาซ้ายวางพาดไว้บนขาขวาใช้มือทั้งสองข้างวางบนเข่าซ้าย และค่อยๆ ออกแรงกดจนรู้สึกตึง โดยหลังตรง และขาขวาต้องตั้งตรงทำมุม 90 องศาเสมอ ค้างไว้ 10 วินาที ทำสลับซ้าย – ขวา ข้างละ 10 ครั้ง 3. เริ่มจากท่านอนหงายก่อน แล้วประกอบเท้าเข้าหากัน ทำค้างไว้ประมาณ 10 วินาที เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาและสะโพก 4. นั่งบนเก้าอี้หลังตรง ไม่พิงพนัก มือทั้ง 2 ข้างแนบชิดลำตัว และนั่งทับมือทั้งสองข้างไว้ ยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นขนานกับพื้น ยกให้ได้มากที่สุด จากนั้นค้างไว้ 10 วินาที และค่อยๆ วางขาลง ทำสลับซ้าย – ขวา ข้างละ 10 ครั้ง 5.